ถ้าให้พูดถึงผู้หญิงสักหนึ่งข้อที่ผู้ชายไม่มี เชื่อว่าหลายคนคงนึกถึงเรื่องการมีประจำเดือน เพราะการมีประจำเดือนคือการที่ผู้หญิงคนนั้นไม่มีการตั้งครรภ์ ทำให้เลือดและเนื้อเยื่อหลุดออกมาจากเนื้อบุมดลูก ถือว่าเป็นเรื่องปกติของผู้หญิง ซึ่งการมีประจำเดือนแต่ละเดือนจะทำให้ระดับฮอร์โมนเพศหญิงนั้นเปลี่ยนแปลง บางคนอาจจะมีสาเหตุที่ทำให้ต้อง ปวดประจำเดือน บ่อยๆ
การปวดประจำเดือน เป็นเรื่องที่ทรมานที่ผู้ชายยากที่จะเข้าใจ เพราะปวดแต่ละทีถึงกับต้องนอนพัก ไม่มีเรี่ยวแรง บางคนถึงกับต้องหยุดงาน หยุดเรียน แต่แอดบอกเลยว่าการปวดบ่อยๆไม่ใช่ว่าจะดี เพราะมันมีสาเหตุและสัญญาณเตือนอันตรายให้กับตัวของสาวๆเอง อย่างนั้นเราไปดูกันว่าสาเหตุและข้อควรระวังของสัญญาณเตือนให้เกิดโรคจะมีอะไรกันบ้าง
สาเหตุของอาการ ปวดประจำเดือน
สาเหตุของการปวดประจำเดือน มี 2 ประเภท
1. ปวดประจำเดือนปฐมภูมิ (Primary dysmenorrhea)
ปวดประจำเดือนปฐมภูมิจะเป็นอาการปวดที่ไม่เกี่ยวกับการเป็นโรคใดๆ แต่จะเป็นเกี่ยวกับสารตัวหนึ่งที่เรียกว่า “Prostaglandin” ซึ่งอย่างที่ทราบว่าประจำเดือนจะหลั่งออกมาจากเนื้อบุมดลูก สารตัวนี้ก็เช่นกัน แต่จะทำให้มดลูกของสาวๆเกิดการบีบตัว จึงทำให้เวลาก่อนที่ประจำเดือนจะมา 1-2 วัน หรือกำลังมาในช่วง 2-3 วันแรก เกิดอาการปวดท้องน้อย ปวดที่บริเวณหลังหรืออุ้งเชิงกราน บางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ เวียนหัวได้ หรือแม้กระทั่งเกิดอาการท้องเสีย สาวๆท่านใดที่กังวลเวลาไปตรวจภายในแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติ เป็นเพราะการปวดประจำเดือนยังเป็นแค่แบบปฐมภูมิ
2. ปวดประจำเดือนทุติยภูมิ (Secondary dysmenorrhea)
ปวดประจำเดือนทุติยภูมิ จะเป็นอาการปวดที่ขั้นรุนแรงมากกว่าแบบปฐมภูมิ เพราะมาจากสาเหตุของการเกิดโรคต่างๆภายในมดลูกหรือรังไข่ของสาวๆนั้นเอง มักจะเกิดในช่วงอายุ 20-30 ปี วิธีสังเกตก่อนเข้าพบแพทย์ ดูว่ามีประจำเดือนที่มากจนเกินไปหรือบางเดือนเว้นระยะห่างไม่มาเลย อาการของการปวดที่รุนแรงถึงขั้นต้องฉีดยาหรือบางรายกับไม่มีสัญญาณเตือนของการปวด มีภาวะที่มีบุตรยาก หรือแม้ตอนมีเพศสัมพันธ์เกิดเจ็บบริเวณมดลูก ควรรับเข้าการปรึกษาแพทย์โดยด่วน เพราะอาจเป็นสัญญาณเตือนความผิดปกติของ
ปวดประจำเดือนเรื้อรัง เป็นสัญญาณเตือนของโรคใดบ้าง?
จากที่กล่าวไปข้างต้นการเกิดอาการปวดประจำเดือนอย่างรุนแรงหรือเรื้อรังเป็นเวลานานแบบทุติยภูมิ เป็นสัญญาณเตือนว่าเราควรเข้าพบแพทย์อย่างเร่งด่วนเพราะจะทำให้เกิดโรคได้ดังนี้
1. เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่หรือช็อกโกแลตซีสต์เป็นภาวะที่เกิดจากเนื้อเยื่อบุโพรงมดลูกเกิดการทำงานหรือไปเจริญนอกโพรงมดลูก ทำให้ส่งผลต่ออุ้งเชิงกรานเวลาที่ประจำเดือนมา จึงเกิดอาการปวดท้องที่รุนแรงตรงบริเวณท้องน้อย บางรายอาจส่งผลไปยังอวัยวะใกล้เคียง อาทิ รังไข่ ท่อนำไข่ หรือปอด
2. เนื้องอกมดลูก
เนื้องอกมดลูกไม่ใช่เป็นเนื้องอกร้าย ซึ่งการเกิดของโรคคือกล้ามเนื้อมดลูก เกิดอาการโตหรือนูนเป็นการเติบโตช้าๆ อาจมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นหรือเท่าเดิม หรือ อาจจะเล็กลงได้ในช่วงที่เข้าวัยประจำเดือนหมด
3. ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ
ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ โรคนี้ส่วนใหญ่จะเกิดการติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์ ทำให้บริเวณอวัยวะเพศหญิงเกิดการติดเชื้อ หากปล่อยไว้นานหรือรักษาไม่หายขาดจะทำให้เกิดการอักเสบและปวดท้องประจำเดือน อีกทั้งยังส่งผลต่อการมีบุตรยากภายหลังอีกด้วย
4. ภาวะปากมดลูกตีบ
ภาวะปากมดลูกตีบ เป็นความผิดปกติของปากมดลูกที่มีลักษณะเกิดการบีบตัวขึ้น ทำให้ช่องของปากมดลูกแคบจนเกินไป หรือเกิดการปิดสนิท ซึ่งทำให้เวลามีประจำเดือนของเหลวค้างอยู่ในโพรงมดลูกจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ปวดท้องอย่างรุนแรง
5. มะเร็งมดลูก
มะเร็งมดลูก เกิดจากสาเหตุขาดประจำเดือนเป็นเวลานาน ไม่ควรปล่อยให้ประจำเดือนขาด 2-3 เดือนควรรีบเข้าปรึกษาแพทย์ เพราะการขาดประจำเดือนจะทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาขึ้น เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งมดลูกอย่างมาก
ปวดประจำเดือน อย่างไรถือว่าผิดปกติ
สิ่งหนึ่งที่สาวๆไม่ควรละเลยนั้นก็คือเรื่องสุขภาพ ซึ่งการปวดประจำเดือนเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ต้องหมั้นดูแลตัวเอง และสังเกตพฤติกรรมแต่ละเดือนว่าเป็นอย่างไร มีอาการปวดมากน้อยเพียงใด ถ้าหากปวดไม่มาก ควรเลี่ยงการรับประทานยาแต่อาจจะใช้การประคบร้อนตรงบริเวณท้องน้อย อาบน้ำอุ่น พักผ่อนให้เพียงพอ หรือออกกำลังกาย แต่ถ้าอยากทานยาต้านการอักเสบชนิดไม่มีสเตียรอยด์ (NSAIDs) ควรรับประทานเมื่อมีอาการปวดรุนแรงเท่านั้น
แต่ถ้าหากได้รับประทานยาเข้าไปแล้วยังมีอาการปวดที่รุนแรงอยู่ หรือมีอาการเหล่านี้ อาทิ เข้าวัย 25 ปีแล้ว เกิดการปวดท้องประจำเดือนเป็นครั้งแรก ปวดท้องที่มากขึ้นเรื่อยๆ มีไข้พร้อมเป็นประจำเดือน เกิดภาวะที่ปวดท้องน้อยขึ้นมาแต่ไม่มีประจำเดือน เลือดประจำเดือนหลั่งออกมามากกว่าปกติ มีกลิ่นเหม็นตกขาว เกิดอาการคันบริเวณปากช่องคลอด ควรรีบเข้าพบแพทย์ทันที เพื่อป้องกันไม่ให้เสี่ยงเกิดโรคตามมาภายหลัง
หากเข้าข่ายผิดปกติควรทำอย่างไร
สำหรับสาวๆที่กำลังอ่านมาถึงตรงนี้แล้วคิดว่าเราเข้าข่ายความผิดปกติขณะที่มีประจำเดือนหรือเกิดภาวะที่ขาดประจำเดือนไป ใครที่คิดมากว่าเราอยู่ในภาวะที่แอดได้กล่าวมาจากข้างต้น ควรรีบเข้าพบแพทย์ เพื่อที่จะได้ปรึกษาและทำการตรวจภายในหรืออัลตราซาวด์ได้ทันท่วงที เพราะถ้าหากปล่อยไว้จะเกิดผลในระยะยาวได้
ถึงแม้ว่าการปวดประจำเดือนที่ไม่มากนักหรือปวดจนเคยชินแล้ว คิดว่าปวดไม่กี่วันเดี๋ยวก็ดีขึ้นเดี๋ยวก็หายไปเอง บอกเลยว่าใครกำลังคิดแบบนี้กำลังทำให้ร่างกายของตัวเองเริ่มเข้าสู่สภาวะของการเกิดโรคได้ง่ายๆ เพราะการปวดประจำเดือนเป็นสัญญาณบ่งบอกแล้วว่าโพรงมดลูกของเราเริ่มที่จะมีปัญหาแล้ว อย่างไรก็ตามไม่ควรปล่อยละเลยกับปัญหาเหล่านี้
อ้างอิง
- Painful Menstrual Periods: Causes, Treatments & More. https://www.healthline.com/health/painful-menstrual-periods
- Menstrual cramps – Symptoms and causes – Mayo Clinic. https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/menstrual-cramps/symptoms-causes/syc-20374938