คุณเคยสงสัยไหมว่า โยคะที่ดูสงบและช้าๆ จะช่วยลดน้ำหนักได้จริงหรือเปล่า? หลายคนอาจคิดว่าโยคะเป็นเพียงการออกกำลังกายเบาๆ ที่เน้นความยืดหยุ่นและการผ่อนคลายจิตใจเท่านั้น แต่จริงๆ แล้ว การฝึกฝนนี้มีพลังมากกว่าที่คุณคิด ไม่ได้เพียงแค่ช่วยให้ร่างกายของคุณยืดหยุ่นขึ้นหรือจิตใจสงบลง แต่ เล่นโยคะลดน้ำหนัก ยังสามารถเป็นตัวช่วยสำคัญในการควบคุมน้ำหนักและดูแลสุขภาพโดยรวมของคุณได้ด้วย หากคุณเป็นอีกคนที่ไม่ชอบการออกกำลังกายแบบหนักๆ โยคะคือหนึ่งในตัวเลือกที่ดีมากเลยทีเดียว
นอกจากข้อดีที่มากมาย ตั้งแต่การสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ การเพิ่มความยืดหยุ่นของร่างกาย ไปจนถึงการช่วยลดความเครียดแล้ว การฝึกโยคะยังช่วยให้คุณมีสติกับการกินมากขึ้น เรียนรู้ที่จะเลือกอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ และหลีกเลี่ยงการกินเพราะอารมณ์ ในบทความนี้ เราจะชวนคุณค้นพบวิธีลดน้ำหนักที่ไม่ได้แค่ช่วยให้ตัวเลขบนเครื่องชั่งลดลง แต่ยังเสริมสร้างสุขภาพและความสุขในทุกด้านของชีวิต ลองเปิดใจให้กับโยคะ ศิลปะแห่งการเคลื่อนไหวที่ผสานจิตใจและร่างกายให้เป็นหนึ่งเดียว แล้วเตรียมพบกับความเปลี่ยนแปลงที่น่าประทับใจที่อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสู่ชีวิตที่สมดุลและมีพลังมากขึ้น
ไขความลับ เล่นโยคะลดน้ำหนัก ช่วยได้จริงหรือ
เสริมสร้างกล้ามเนื้อ: โยคะทำได้มากกว่าที่คิด
หนึ่งในข้อดีของโยคะที่หลายคนมองข้าม คือ ความสามารถในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ โยคะหลายท่า เช่น ท่า Plank หรือ ท่า Downward Dog ช่วยกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย ตั้งแต่กล้ามเนื้อแขน ไหล่ หน้าท้อง ไปจนถึงต้นขา โยคะสามารถช่วยให้คุณเผาผลาญแคลอรีเพิ่มขึ้นถึง 50-100 แคลอรีต่อวันในระยะยาว เนื่องจากกล้ามเนื้อใช้พลังงานมากกว่าไขมัน
กล้ามเนื้อที่แข็งแรงช่วยอะไรได้บ้าง?
- เพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงาน แม้ในขณะที่ร่างกายพักผ่อน
- ช่วยให้รูปร่างกระชับ ไม่หย่อนคล้อย
- สนับสนุนการทำกิจกรรมประจำวัน เช่น การยกของหรือการเดินขึ้นลงบันได ได้ง่ายขึ้น
สำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักและสร้างกล้ามเนื้อ โยคะเป็นตัวช่วยที่สมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะเมื่อรวมกับกิจกรรมเสริม เช่น บอดี้เวทสร้างกล้ามเนื้อ เพื่อผลลัพธ์ที่ยั่งยืน
โยคะช่วยเผาผลาญแคลอรี
หลายคนอาจสงสัยว่า โยคะสามารถเผาผลาญแคลอรีได้เหมือนการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอหรือไม่ ความจริงแล้วโยคะบางประเภท เช่น วินยาสะ (Vinyasa Yoga) และ โยคะพาวเวอร์ (Power Yoga) สามารถเผาผลาญแคลอรีได้ในระดับที่น่าประทับใจ โดยเฉพาะเมื่อฝึกอย่างต่อเนื่องและถูกต้อง การฝึกวินยาสะโยคะ 1 ชั่วโมงสามารถเผาผลาญแคลอรีได้ประมาณ 400-500 แคลอรี ขึ้นอยู่กับความหนักของท่าฝึกและน้ำหนักตัวของผู้ฝึก
ข้อดีที่โยคะให้มากกว่าการออกกำลังกายทั่วไป:
- เพิ่มความยืดหยุ่นของร่างกายและลดอาการบาดเจ็บ
- ลดฮอร์โมนความเครียด (Cortisol) ซึ่งเป็นสาเหตุของไขมันสะสมบริเวณหน้าท้อง
- ส่งเสริมระบบไหลเวียนเลือดและปรับสมดุลของร่างกาย
นอนหลับดีขึ้น
การนอนหลับที่มีคุณภาพเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการลดน้ำหนัก การฝึกโยคะ โดยเฉพาะ โยคะนิทรา (Yoga Nidra) ช่วยให้คุณผ่อนคลายและนอนหลับได้ลึกขึ้น
โยคะนิทราช่วยอะไรได้บ้าง? ลดระดับฮอร์โมนความเครียดที่รบกวนการนอน โดยเพิ่มระยะเวลาของการนอนหลับลึก (Deep Sleep) ซึ่งเป็นช่วงที่ร่างกายเผาผลาญพลังงานและซ่อมแซมเซลล์ อีกทั้งกระตุ้นให้ร่างกายตื่นมาอย่างสดชื่น พร้อมเผาผลาญแคลอรีในวันถัดไป
โยคะสร้างสร้างสติ และช่วยปรับพฤติกรรมการกิน
ไม่ได้ช่วยแค่เรื่องของร่างกาย แต่ยังช่วยให้คุณมีสติกับสิ่งที่คุณกินอีกด้วย การฝึกอย่างต่อเนื่องทำให้คุณเรียนรู้ที่จะฟังร่างกายของตัวเอง ช่วยลดการกินตามอารมณ์ เช่น ความเครียดหรือความเบื่อ
โยคะช่วยอะไรได้บ้าง?
- กระตุ้นให้กินช้าลง เคี้ยวอาหารอย่างละเอียด และรับรู้ถึงความอิ่ม
- ลดความอยากอาหารที่ไม่มีประโยชน์ เช่น ขนมหวาน หรืออาหารทอด
- ส่งเสริมการเลือกอาหารที่มีประโยชน์ เช่น หากต้องการ งดข้าวเย็นกินอะไรแทน โยคะอาจช่วยให้คุณเลือกอาหารที่เหมาะสม เช่น สลัดผักหรือซุปเบา ๆ
สนับสนุนด้วยงานวิจัยในปี 2020 พบว่าผู้ที่ฝึกโยคะอย่างน้อย 30 นาทีต่อสัปดาห์เป็นเวลาหลายปี มีแนวโน้มที่จะกินอาหารอย่างมีสติและลดพฤติกรรมการกิน เช่น กินไม่หยุด (Binge) หรือกินมากเกินไป
เคล็ดลับการฝึก เล่นโยคะลดน้ำหนัก
เลือกประเภทที่ใช่ เพื่อเผาผลาญแคลอรีตรงจุด
หากคุณกำลังมองหาโยคะที่ช่วยลดน้ำหนัก ควรเลือกประเภทโยคะที่เน้นการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องและการใช้พลังงานสูง เช่น:
- วินยาสะโยคะ (Vinyasa Yoga): เป็นการไหลลื่นของท่าทางที่เปลี่ยนไปตามลมหายใจ ช่วยเผาผลาญแคลอรีและเสริมสร้างความยืดหยุ่น
- พาวเวอร์โยคะ (Power Yoga): ท้าทายความแข็งแรงและความอดทน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเผาผลาญพลังงานมากขึ้น
- โยคะร้อน (Hot Yoga): ฝึกในห้องที่มีอุณหภูมิสูง ซึ่งช่วยกระตุ้นการเผาผลาญแคลอรีและขับสารพิษออกจากร่างกาย
การเลือกโยคะที่เหมาะสมสามารถช่วยลดน้ำหนักและกระชับสัดส่วนได้ โดยเฉพาะในบริเวณหน้าท้อง เช่นเดียวกับการ ออกกำลังกายลดพุง ที่มุ่งเน้นการลดไขมันในจุดเฉพาะ คุณสามารถเลือกโยคะประเภทนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการลดน้ำหนักที่มีประสิทธิภาพ
ฝึกบ่อยแค่ไหนถึงจะได้ผล?
- ความถี่ที่แนะนำ: ฝึกโยคะ 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อให้ร่างกายปรับตัวและเผาผลาญพลังงานอย่างต่อเนื่อง
- ระยะเวลาการฝึก: แต่ละครั้งควรใช้เวลา 45-60 นาที หากคุณเพิ่งเริ่มต้น อาจเริ่มจาก 20-30 นาทีแล้วเพิ่มเวลาขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อป้องกันการบาดเจ็บ
การจัดตารางการฝึกที่สมดุลและมีวันพักฟื้น (Rest Day) อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 วัน จะช่วยให้กล้ามเนื้อได้ฟื้นฟูและลดความเสี่ยงต่อการเหนื่อยล้าสะสม
ท่าเด็ดที่ช่วยเผาผลาญและลดน้ำหนัก
การฝึกโยคะด้วยท่าที่เน้นการสร้างความแข็งแรงและเผาผลาญแคลอรี สามารถช่วยให้เห็นผลลัพธ์ได้เร็วขึ้น ท่าที่แนะนำได้แก่:
- ท่าเรือ (Boat Pose): ช่วยกระชับกล้ามเนื้อหน้าท้องและเสริมความแข็งแรงให้กับแกนกลางลำตัว
- ท่าไม้กระดาน (Plank Pose): ท้าทายกล้ามเนื้อหน้าท้อง ไหล่ และต้นแขน เหมาะสำหรับการสร้างกล้ามเนื้อที่เผาผลาญแคลอรีได้ดี
- ท่าสุนัขก้มหน้า (Downward Dog Pose): หากคุณเล่นกับสตูดิโอบ่อย ๆ จะพบว่าท่านี้เป็นท่าพื้นฐานระหว่างพักท่าต่อไป ซึ่งสามารถช่วยทั้งการยืดกล้ามเนื้อและสร้างความแข็งแรง
- ท่าโค้งตัว (Bow Pose): เน้นการกระชับหน้าท้องและหลังส่วนล่าง
- ท่าพระอาทิตย์ (Sun Salutations): เป็นชุดท่าที่ฝึกต่อเนื่อง ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและเผาผลาญแคลอรีในเวลาเดียวกัน
ผสานกับการออกกำลังกายอื่น ๆ
แม้ว่าโยคะจะช่วยลดน้ำหนักได้ดี แต่การเสริมด้วยการออกกำลังกายรูปแบบอื่น เช่น การเดินเร็ว การวิ่ง หรือการปั่นจักรยาน จะช่วยเร่งการเผาผลาญพลังงานและเพิ่มความฟิตให้ร่างกาย ด้วยการผสานกับคาร์ดิโอช่วยกระชับสัดส่วนและลดไขมันสะสม แต่หากคุณต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็ว การออกกำลังกายแบบ HIIT หรือ Tabata สามารถเสริมโยคะได้อย่างลงตัว
ตั้งเป้าหมาย เล่นโยคะลดน้ำหนัก ที่เหมาะสม ไม่กดดันตัวเอง
การตั้งเป้าหมายที่อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการลดน้ำหนักที่ดี เพราะเป้าหมายที่เป็นไปได้และสมเหตุสมผลจะช่วยให้คุณสามารถเดินทางสู่ความสำเร็จได้อย่างมั่นคง โดยไม่รู้สึกกดดันจนเกินไป หรือหมดกำลังใจระหว่างทาง ลองเปลี่ยนให้การลดน้ำหนักนั้นไม่ใช่การแข่งขัน แต่เป็นการสร้างความเปลี่ยนแปลงในระยะยาวที่ส่งผลดีต่อสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ
เป้าหมายระยะสั้น เน้นค่อยเป็นค่อยไป
สำหรับเป้าหมายระยะสั้น ตั้งเป้าหมายลดน้ำหนักประมาณ 0.5-1 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ถือว่าเหมาะสมและปลอดภัยที่สุด ซึ่งตัวเลขนี้ไม่ได้เพียงแค่สอดคล้องกับคำแนะนำทางการแพทย์ แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงที่น้ำหนักจะกลับมาขึ้นอีกในอนาคต การลดน้ำหนักในอัตราดังกล่าวช่วยให้ร่างกายปรับตัวได้ดีและไม่สูญเสียมวลกล้ามเนื้อที่จำเป็นต่อการเผาผลาญพลังงาน สิ่งสำคัญ คือ โฟกัสที่กระบวนการ และการเพิ่มความเข้มข้นของการฝึกทีละน้อย โดยไม่เร่งรีบเกินไป นอกจากนี้ การจดบันทึกความคืบหน้า เช่น ความแข็งแรงที่เพิ่มขึ้น หรือการสามารถฝึกท่าที่ยากขึ้นได้ ก็เป็นแรงจูงใจที่ดีในระยะสั้น
เป้าหมายระยะยาว เน้นสร้างสุขภาพที่ดีอย่างถาวร
ในระยะยาว การตั้งเป้าหมายควรมุ่งเน้นไปที่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ส่งผลดีต่อสุขภาพมากกว่าการมุ่งหวังเพียงตัวเลขบนเครื่องชั่งน้ำหนัก โยคะสามารถเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตที่สมดุลได้ โดยคุณอาจเริ่มต้นจากการฝึกสติในการกินอาหาร เช่น เลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ เคี้ยวช้า ๆ และหลีกเลี่ยงการกินเพราะอารมณ์ นอกจากนี้ การนอนหลับที่เพียงพอและมีคุณภาพยังช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูได้ดีและพร้อมสำหรับการฝึกในวันถัดไป เป้าหมายระยะยาว ยังรวมถึงการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง เช่น ฝึกโยคะควบคู่ไปกับกิจกรรมคาร์ดิโอที่คุณชื่นชอบ เช่น การเดิน วิ่ง หรือปั่นจักรยาน เพื่อเสริมสร้างสุขภาพโดยรวมให้แข็งแรงขึ้น ทั้งหมดนี้ช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้อย่างยั่งยืน และไม่เพียงแค่ทำให้รูปร่างดีขึ้น แต่ยังสร้างความมั่นใจและความพอใจกับตัวเองในทุกมิติ
อย่ากดดันตัวเองเกินไป
การลดน้ำหนักไม่อาจเห็นผลภายในระยะเวลาสั้น ๆ ซึ่งโยคะเองก็เป็นการฝึกฝนที่ให้ผลในระยะยาว คุณต้องอาศัยความอดทนและความสม่ำเสมอ หากคุณเผชิญความท้าทายหรือมีช่วงเวลาที่น้ำหนักไม่ลดตามที่คาดหวัง อย่ากดดันตัวเองจนเกินไป แทนที่จะมองความล้มเหลว คุณควรมองเห็นว่าเป็นโอกาสในการเรียนรู้และปรับเปลี่ยนแผนให้เหมาะสมกับตัวเองมากขึ้น
ข้อควรระวังในการฝึกฝน เล่นโยคะลดน้ำหนัก
1 ผู้ที่มีอาการบาดเจ็บหรือปัญหาสุขภาพควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
สำหรับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น โรคกระดูกพรุน อาการปวดหลังเรื้อรัง หรือปัญหาข้อต่อต่าง ๆ การปรึกษาแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดก่อนเริ่มฝึกเป็นสิ่งสำคัญ เพราะในบางท่า เช่น ท่าก้มตัวหรือการยืดมากเกินไป อาจทำให้อาการเหล่านี้แย่ลงได้ นอกจากนี้ การรับคำแนะนำจากครูโยคะที่มีประสบการณ์ ยังช่วยปรับการฝึกให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายและลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บ โดยเฉพาะผู้ที่เริ่มทำครั้งแรก
2 ไม่เล่นหลังรับประทานอาหาร
โยคะควรทำในขณะที่ร่างกายไม่หนักท้องหรือเพิ่งรับประทานอาหารเสร็จใหม่ ๆ เพราะอาจทำให้รู้สึกไม่สบายตัวหรือเป็นอุปสรรคต่อการฝึกในบางท่า เช่น ท่าก้มตัวหรือบิดตัว เราแนะนำว่า ควรรอประมาณ 2-3 ชั่วโมงหลังรับประทานอาหารมื้อหลักก่อนเริ่มฝึกโยคะ หากรู้สึกหิวก่อนฝึก อาจเลือกรับประทานของว่างเบา ๆ เช่น กล้วยหรือโยเกิร์ต และสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ การเลือก โปรตีนกินตอนไหน ให้เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ เพราะโปรตีนควรกินหลังการฝึกหรือช่วงที่ร่างกายต้องการฟื้นฟู เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อและช่วยซ่อมแซมเซลล์อย่างมีประสิทธิภาพ
3 ใช้อุปกรณ์เสริมเพื่อเพิ่มความปลอดภัย
การใช้อุปกรณ์เสริม เช่น เสื่อโยคะที่มีพื้นผิวกันลื่น บล็อกโยคะ (Yoga Blocks) และสายโยคะ (Yoga Straps) ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและทำให้ท่าที่ยากง่ายขึ้น เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นที่ยังขาดความยืดหยุ่นหรือสมดุล การเลือกเสื่อโยคะควรคำนึงถึงความหนาและความหนืดที่เหมาะสม เพื่อรองรับน้ำหนักและลดแรงกระแทก หากฝึกในพื้นที่ลื่น เช่น พื้นกระเบื้องหรือพรม การใช้อุปกรณ์เสริมที่เหมาะสมจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4 ความสมดุลระหว่างการฝึกและการพักผ่อน
แม้ว่าการฝึกโยคะเป็นประจำจะมีประโยชน์ แต่การพักผ่อนอย่างเพียงพอก็สำคัญไม่แพ้กัน การฝึกหนักเกินไปโดยไม่มีวันพักอาจทำให้กล้ามเนื้อล้าและส่งผลต่อประสิทธิภาพการฝึกในระยะยาว
- ควรกำหนดวันพักอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 วัน เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟู
- หากรู้สึกเจ็บกล้ามเนื้อหรืออ่อนล้ามากเกินไป ควรลดความเข้มข้นของการฝึกในวันถัดไป
โยคะ ไม่ใช่เพียงการออกกำลังกายเพื่อความยืดหยุ่นหรือการผ่อนคลายจิตใจเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยสนับสนุนการลดน้ำหนักในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะไม่ได้เน้นการเผาผลาญแคลอรีสูงเหมือนการออกกำลังกายคาร์ดิโอแบบหนัก ๆ แต่ความต่อเนื่องและการฝึกอย่างสม่ำเสมอ กลับมีพลังมหาศาลในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเรา ตั้งแต่การกิน, การนอน, ไปจนถึงการปรับสมดุลของร่างกายและจิตใจ เมื่อคุณเริ่มฝึก คุณจะได้พบกับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ได้เกิดน้ำหนักลดลง แต่ยังมีความสมดุลในชีวิตและสุขภาพที่ดีขึ้นในทุกด้าน ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือมีประสบการณ์แล้ว การฝึกนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการมีสุขภาพดีที่ง่ายมาก ๆ มาลองเล่นด้วยความมุ่งมั่นทีละเล็กทีละน้อย แล้วคุณจะได้พบกับการเปลี่ยนแปลงที่ดีทั้งร่างกายและจิตใจ พร้อมสัมผัสพลังงานบวกและชีวิตที่สมดุลในทุกมิติ!
คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
1. การเล่นโยคะลดน้ำหนักได้จริงหรือไม่?
โยคะสามารถช่วยลดน้ำหนักได้จริง แต่ผลลัพธ์มักเกิดขึ้นในระยะยาว โดยอาศัยการฝึกอย่างสม่ำเสมอ โยคะช่วยเผาผลาญแคลอรี เสริมสร้างกล้ามเนื้อ และปรับพฤติกรรมการกิน นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้มีความสมดุลระหว่างร่างกายและจิตใจ ซึ่งส่งผลดีต่อการควบคุมน้ำหนักและสุขภาพโดยรวม
2. ต้องฝึกโยคะบ่อยแค่ไหนถึงจะเห็นผล?
การฝึกโยคะเพื่อการลดน้ำหนักควรทำอย่างน้อย 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละ 45-60 นาที สำหรับมือใหม่ อาจเริ่มต้นด้วยเซสชันที่สั้นลง เช่น 20-30 นาที แล้วค่อยเพิ่มเวลาเมื่อร่างกายปรับตัวได้ อย่าลืมให้วันพักฟื้นกล้ามเนื้ออย่างน้อย 1 วันต่อสัปดาห์ เพื่อป้องกันอาการบาดเจ็บ
3. โยคะประเภทไหนเหมาะสำหรับมือใหม่ที่ต้องการลดน้ำหนัก?
สำหรับมือใหม่ที่ต้องการลดน้ำหนัก ควรเริ่มต้นด้วยประเภทที่มีการเคลื่อนไหวและการเผาผลาญพลังงาน เช่น วินยาสะ (Vinyasa Yoga) หรือพาวเวอร์โยคะ (Power Yoga) หากต้องการความท้าทายน้อยกว่า อาจเริ่มจากโยคะหัตถะ (Hatha Yoga) ซึ่งช่วยสร้างพื้นฐานการเคลื่อนไหวที่ถูกต้องก่อนจะเพิ่มความเข้มข้น
4. เราสามารถฝึกโยคะเองที่บ้านได้หรือไม่?
แน่นอนว่าคุณสามารถฝึกเองได้ที่บ้าน แต่ควรเริ่มต้นด้วยการดูวิดีโอสอนโยคะจากครูผู้เชี่ยวชาญ หรือเข้าคลาสออนไลน์เพื่อเรียนรู้ท่าทางที่ถูกต้อง นอกจากนี้ ควรมีอุปกรณ์พื้นฐาน เช่น เสื่อโยคะ และพื้นที่ที่เงียบสงบสำหรับฝึก เมื่อมีประสบการณ์มากขึ้น คุณสามารถปรับการฝึกให้เหมาะสมกับเป้าหมายส่วนตัวได้อย่างยืดหยุ่นมากขึ้น!
อ้างอิง
- Emily Cronkleton, Yoga for Weight Loss, Healthline, September 18, 2024, https://www.healthline.com/health/yoga-for-weight-loss
- Zawn Villines, Can yoga help you lose weight?, medicalnewstoday, June 9, 2023, https://www.medicalnewstoday.com/articles/can-yoga-help-you-lose-weight
- Tired of trying weight loss hacks? Trust these 10 yoga poses for faster weight loss, healthshots, October 30, 2023, https://www.healthshots.com/fitness/weight-loss/yoga-for-weight-loss-10-asanas-that-actually-work/